![]() |
|
![]() |
|
![]() |
ฟังก์ชันฟังก์ชันที่ใช้ในภาษา SQLเป็นฟังก์ชัน ซึ่งเก็บประจำไว้กับภาษา SQL ภาษา SQL มีฟังก์ชันอยู่ 6 ประเภทคือ 1.ฟังก์ชันในการรวม (Aggregate functions) 2.ฟังก์ชันวันและเวลา (Date and tune functions) 3.ฟังก์ชันคณิตศาสตร์ (Arithmetic functions) 4.ฟังก์ชันตัวอักขระ (Character functions) 5.ฟังก์ชันการแปลง (Conversion functions) 6.ฟังก์ชันอื่นๆ (Miscellaneous functions) 1.ฟังก์ชันในการรวม(Aggregate Functions)เป็นกลุ่มฟังก์ชันที่ให้ผลของคำสั่งออกมาเพียง 1 คอลัมน์ ฟังก์ชันในการรวม(Aggregate Functions) เป็นกลุ่มฟังก์ชันที่ใช้กับข้อมูลที่เป็นตัวเลข ได้แก่ COUNT,SUM,AVG,MAXและ MIN การใช้ฟังก์ชันในการรวมค่าต่าง ๆในภาษา SQL ดำเนินตามคำสั่งที่มีฟังก์ชันในการรวมค่า ผลของคำสั่งจะแสดงค่าเพียงค่าเดียว ฟังก์ชันเหล่านี้ได้แก่ COUNT เป็นคำสั่งที่สามารถใช้กับตารางหรือคอลัมน์ใด ๆ เพื่อนับจำนวนของแถวหรือคอลัมน์ซึ่งมีการใช้งาน 2 แบบดังนี้คือ COUNT (*) เป็นคำสั่งใช้นับจำนวนแถวทั้งหมดในตารางซึ่งจะรวมจำนวนแถวที่ไม่มีค่า ( NULL) ด้วย COUNT (DISTINCT คอลัมน์) เป็นคำสั่งใช้นับจำนวนแถวในตาราง จะไม่รวมค่าซ้ำและตำแหน่งที่ไม่มีค่า( NULL) SUM เป็นคำสั่งการหาผลรวมของคอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่ง AVG เป็นคำสั่งการหาค่าเฉลี่ยของข้อมูลในคอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่งโดยในคอลัมน์ที่ไม่มีค่าใดบรรจุอยู่ (NULL VALUE)จะไม่นำมาบรรจุอยู่ในการคำนวณ การใช้ฟั่งก์ชั่น AVG จะนำค่าทุกตัวในคอลัมน์มาคำนวณรวมทั้งตัวที่มีค่าซ้ำกันด้วย(ถ้าไม่ต้องการนำค่านั้นมาคำนวณสามารถใช้ DISTINCT ได้เช่น AVG (DISTINCT ชื่อคอลัมน์) เพื่อหาค่าเฉลี่ยโดยไม่ต้องนำค่าซ้ำกันมาคำนวณ MAX เป็นคำสั่งในการหาค่าสูงสุดของข้อมูลของคอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่ง MIN เป็นคำสั่งในการหาค่าต่ำสุดของข้อมูลของคอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่ง 1.1ฟังก์ชัน COUNT (X) เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการนับจำนวนแถวในคอลัมน์ (X) ตัวอย่างตารางTEAMGAME
ตัวอย่างถ้าต้องการนับจำนวนแถวทั้งหมดในตาราง TEAMGAMEโดยนับเฉพาะแถวที่ HIT หารด้วย AB แล้วมีค่าน้อยกว่า 0.35 จะใช้คำสั่งดังนี้ SELECT COUNT(*) FROM TEAMGAME WHERE HITS/AB < .35; ผลของคำสั่ง จะได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนแถวที่ HIT หารด้วย AB แล้วมีค่าน้อยกว่า 0.35
ตัวอย่าง ถ้าต้องการให้แสดงคอลัมน์ที่นับได้ชื่อ NUM_BELOW_350 SELECT COUNT(*) NUM_BELOW_350 FROM TEAMGAME WHERE HITS/AB < .35; ผลของคำสั่ง
ตัวอย่าง ถ้าต้องการนับจำนวนคนที่มีเงื่อนไขให้ HIT หารด้วย AB แล้วมีค่าน้อยกว่า 0.35 SELECT COUNT(NAME) NUM_BELOW_350 FROM TEAMGAME WHERE HITS/AB < .35; ผลของคำสั่ง
ตัวอย่าง ถ้าต้องการนับว่าข้อมูลในตาราง TEAMGAME มีจำนวนทั้งหมดกี่แถวจะใช้ SELECT COUNT(*) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่ง
1.2 ฟังก์ชัน SUM (X) เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาค่ารวมของคอลัมน์ (X) ที่เก็บข้อมูลประเภทตัวเลข ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาผลรวมของคอลัมน์ SINGLES จากตาราง TEAMGAME โดยให้แสดงคอลัมน์ของผลรวมที่ได้ในชื่อ TOTAL .SINGLES SELECT SUM(SINGLES) TOTAL_SINGLES FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่ง
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาผลรวมของคอลัมน์ SINGLES, DOUBLES, TRIPLES, HR จากตาราง TEAMGAME โดยให้แสดงคอลัมน์ของผลรวมที่ได้ในชื่อ TOTAL.SIGLES, TOTAL_DOUBLES, TOTAL_TRIPLES, TOTAL_HR ตามลำดับ SELECT SUM(SINGLES) TOTAL_SINGLES, SUM(DOUBLES) TOTAL_DOUBLES, SUM(TRIPLES) TOTAL_TRIPLES, SUM(HR) TOTAL_HR FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งที่ได้จะทำการรวมคะแนนทั้งหมดในคอลัมน์ SINGLES, DOUBLES, TRIPLES, HR แล้วแสดงออกมาเป็นคอลัมน์ TOTAL_SIGLES TOTAL_DOUBLES, TOTAL_TRIPLES, TOTAL_HR ตามลำดับดังนี้
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาผลรวมของคอลัมน์ SINGLES, DOUBLES, TRIPLES, HR จากตาราง TEAMGAME ที่มีเงื่อนไขว่า HITS หารด้วย AB มากกว่าหรือเท่ากับ .300 โดยให้แสดงคอลัมน์ของผลรวมที่ได้ในชื่อ TOTAL_SIGLES, TOTAL_DOUBLES, TOTAL_TRIPLES, TOTAL_HR ตามลำดับ SELECT SUM(SINGLES) TOTAL_SINGLES, SUM(DOUBLES) TOTAL_DOUBLES, SUM(TRIPLES) TOTAL_TRIPLES, SUM(HR) TOTAL_HR FROM TEAMGAME; WHERE HITS/AB > = .300; ผลของคำสั่งที่ได้จะทำให้รวมคะแนนทั้งหมดในคอลัมน์ต่าง ๆ เฉพาะแถวที่มีค่า HITS หารด้วย AB มากกว่าหรือเท่ากับ .300 แล้วแสดงผลในชื่อ TOTAL_SIGLES, TOTAL_DOUBLES, TOTAL_TRIPLES, TOTAL_HR ตามลำดับ
ตัวอย่าง ถ้าต้องการผลรวมในคอลัมน์ NAME SELECT SUM(NAME) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจะเกิด ERROR ขึ้นเนื่องจากในคอลัมน์ NAME มีประเภทของข้อมูลเป็นตัวอักขระฟังก์ชัน SUM จะใช้กับตัวเลขเท่านั้น ถ้าใช้ SUM กับตัวอักษรจะเกิด ERROR ดังตัวอย่าง ERROR: ORA-01722: invalid number No rows selected 1.3 ฟังก์ชัน AVG (X) เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาค่าเฉลี่ยของคอลัมน์ (X) ที่เก็บข้อมูลประเภทตัวเลข ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาเฉลี่ยของ HITS ให้แสดงในชื่อ HIT_AVERAGE SELECT AVG(HITS) HITS_AVERAGE FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งที่ได้จะแสดงค่าเฉลี่ยของ HITS ที่เกิดจากการนำค่าในแถวต่าง ๆ ในคอลัมน์ HIT มาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนแถว คือ 6
1.4 ฟังก์ชัน MAX (X) เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการคำนวณหาค่าสูงสุดของคอลัมน์ (X) ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาว่าในคอลัมน์ HITS มีค่าสูงสุดเท่าใด SELECT MAX(HITS) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งที่ได้จะได้ว่า HITS มีค่าสูงสุดคือ 70 ดังนี้
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาว่าใครเป็นผู้ที่ได้ HITS สูงที่สุดโดยใช้คำสั่งดังนี้ SELECT NAME FROM TEAMGAME WHERE HITS = MAX(HITS); ผลของคำสั่งจะเกิด ERROR เนื่องจากฟังก์ชันในการรวม (Aggregate function) มาใช้ในเงื่อนไขอนุประโยค WHERE ไม่ได้จะเกิด ERROR ขึ้นจากตัวอย่าง WHERE HITS = MAX(HITS); MAX(HITS) จะมาใช้ในเงื่อนไขอนุประโยค WHERE ไม่ได้ จากคำถามข้อนี้จะสามารถใช้ได้กับคำสั่ง CROUP BY และ HAVING ที่จะได้ศึกษาต่อไป ERROR at line 3: ORA 00934: group function is not allowed here ตัวอย่าง การใช้ MAX กับประเภทของข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ SELECT MAX (NAME) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจากคำสั่งจะทำการหาชื่อของผู้ที่มีอักษร (A-Z) ตามลำดับใครที่มีอักษรลำดับมากที่สุดจะถูกแสดงออกมาเพียงแถวเดียว
1.5 ฟังก์ชัน MIN (X) เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาค่าต่ำสุดของคอลัมน์ (X) ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่าต่ำสุดในคอลัมน์ AB SELECT MIN(AB) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งที่ได้จะได้ค่าต่ำสุดในคอลัมน์ AB ดังนี้
ตัวอย่าง การใช้ MIN กับประเภทของข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ SELECT MIN(NAME) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจากคำสั่งจะทำการหาชื่อของผู้ที่มีอักษร (A-Z) ตามลำดับใครที่มีอักษรลำดับน้อยที่สุดจะถูกแสดงออกมาเพียงแถวเดียว
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่าต่ำสุดและสูงสุดในคอลัมน์ AB SELECT MIN(AB), MAX(AB) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจะได้ค่าต่ำสุดและสูงสุดในคอลัมน์ AB ดังนี้
1.6 ฟังก์ชัน VARIANC (X) เป็นฟังก์ชันในการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานยกกำลัง2(S2) ในคอลัมน์ X ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่า VARIANC ของ คอลัมน์ HITS SELECT VARIANCE(HITS) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งที่ได้จะได้ค่า VARIANCE ในคอลัมน์ HITS
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่า VARIANCE ของคอลัมน์ NAME SELECT VARIANCE(NAME) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจะเกิด ERRORขึ้นเนื่องจากฟังก์ชัน VARIANCE ไม่สามารถใช้กับข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้ดังนี้ ERROR: ORA-01722: invalid number No rows selected 1.7 ฟังก์ชัน STDDEV (X) หรือฟังก์ชันส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน คือ การหาค่ารากที่สองของผลรวมของความแตกต่างระหว่างข้อมูลดิบกับค่าเฉลี่ย ยกกำลังสอง (sum of squaresของผลต่าง) หารด้วยจำนวนข้อมูลทั้งหมดของคอลัมน์ X ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคอลัมน์ HITS SELECT STDDEV(HITS) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจะได้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคอลัมน์ HITS ดังนี้
SELECT STDDEV(NAME) FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งจะเกิด ERROR ได้เนื่องจากฟังก์ชัน STDDEV ไม่สามารถใช้กับข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้ ERROR: ORA-01722: invalid number no rows selected ตัวอย่าง ถ้าต้องการนับจำนวนแถวในคอลัมน์ หาค่าเฉลี่ยหาค่าสูงสุด ต่ำสุด หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าว่าเรียน และหาผลรวมของคอลัมน์ AB SELECT COUNT(AB), AVG(AB), MIN(AB), MAX(AB), STDEV(AB), VARIANCE(AB), SUM(AB), FROM TEAMGAME; ผลของคำสั่งที่ได้ค่าต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้
2.ฟังก์ชันวันและเวลา (Date and tune functions)เป็นกลุ่มฟังก์ชันที่แสดงข้อมูลออกมาเป็นวันและเวลา ตัวอย่าง ตารางPROJECT
2.1 ฟังก์ชัน ADD_MONTHS (X,Y) เป็นฟังก์ชันที่ต้องการบวกจำนวนเดือน (Y) เข้าไปในข้อมูล คอลัมน์ X ตัวอย่าง ถ้าต้องการให้เลื่อนเวลาในคอลัมน์ ENDDATE ให้มีกำหนดเวลาเพิ่มขึ้นอีก 2 เดือน โดยให้ผลลัพธ์แสดงคอลัมน์ TASK, STARTDATE และคอลัมน์ ENDDATE ให้แสดงเป็นคอลัมน์ ORIGINALEND ส่วนกำหนดเวลาที่บวกเพิ่มไปอีก 2 เดือน ให้แสดงในคอลัมน์ ADD_MONTH SELECT TASK,STARTDATE, ENDDATE ORIGINAL_END, ADD_MONTHS(ENDDATE,2) FROM PROJECT; ผลของคำสั่งจะได้ ADD_MONTHS เพิ่มมาอีก 1 คอลัมน์ ซึ่งเกิดจากข้อมูลในคอลัมน์ ENDDATE บวกอีก 2 เดือน
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาว่างานใดบ้างที่มีระยะการทำงานไม่เกิน 1 เดือนจะใช้คำสั่งดังนี้ SELECT TASK, TASKS_SHORTER_THAN_ONE_MONTH FROM PROJECT WHERE ADD_MONTHS(STARTDATE, 1) > ENDDATE; ผลของคำสั่งจะได้คอลัมน์ TASKS_SHORTER_THAN_ONE_MONTH ที่แสดงงานที่มีระยะเวลาการทำงานไม่เกิน 1 เดือน
2.2 ฟังก์ชัน LAST_DAY (X) เป็นฟังก์ชันที่แสดงวันสุดท้ายของเดือนในคอลัมน์ (X) ตัวอย่าง เช่นต้องการแสดงวันสุดท้ายของเดือนจะใช้คำลั่งดังนี้ SELECT ENDDATE, LAST_DAY(ENDDATE) FROM PROJECT; ผลของคำสั่งที่ได้จะแสดงในคอลัมน์ LAST_DAY (ENDDATE) ที่แสดงวันสุดท้ายของเดือนในคอลัมน์ ENDDATE
2.3 ฟังก์ชัน MONTHS_BETWEEN (X,Y) เป็นฟังก์ชันที่คำนวณค่าระหว่าง X และ Y โดยมีหน่วยเป็นเดือน ถ้าต้องการคำนวณหาค่าระหว่างคอลัมน์ STARIDATE กับคอลัมน์ ENDDATE ว่ามีระยะเวลาห่างกันกี่เดือน SELECT TASK, STARTDATE, ENDDATE, MONTHS_BETWEEN(STARTDATE, ENDDATE) DURATION FROM PROJECT; ผลของคำสั่งที่ได้คอลัมน์ DURATION ที่ติดค่าลบเนื่องจากใช้คอลัมน์ STARTDATE ซึ่งมีค่าน้อยกว่าคอลัมน์ ENDDATE เป็นค่าเริ่มต้น
เป็นการหาค่าเดือนเหมือนดังตัวอย่างข้างต้น แต่จะนำคอลัมน์ ENDDATE มาเป็นค่าเริ่มต้น SELECT TASK, STARTDATE, ENDDATE, MONTHS_BETWEEN(ENDDATE ,STARTDATE) DURATION FROM PROJECT; ผลของคำสั่งที่ได้คอลัมน์ DURATION เป็นบวกเพราะคอลัมน์ ENDDATE ที่เป็นค่าเริ่มต้นมีค่ามากกว่าคอลัมน์ STARIDATE
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาว่าค่าที่เริ่มก่อนวันที่ 15 MAY 2001 SELECT * FROM PROJECT WHERE MONTHS_BETWEEN(19 MAY 2001,STARTDATE) > 0; ผลของคำสั่งที่ได้จะแสดงงานโครงการที่เริ่มก่อน วันที่ 19 MAY 2001
3.ฟังก์ชันคณิตศาสตร์ (Arithmetic functions)เป็นกลุ่มคำสั่งที่เกี่ยวกับการคำนวณทางเลขคณิต ตัวอย่าง ตารางNUMBERS;
3.1 ฟังก์ชัน ABS(X)เป็นฟังก์ชันในการหาค่าสมบูรณ์ของ X ต้องการหาค่าสมบูรณ์ในคอลัมน์ A SELECT ABS(A) ABSOLUTE_VALUE FROM NUMBERS; ผลของคำสั่ง
3.2 ฟังก์ชัน CEIL(X) and FLOOR(X) ฟังก์ชัน CEIL (X) เป็นฟังก์ชันที่ให้ค่าตัวเลขจำนวนเต็มที่มีค่ามากว่าหรือเท่ากับค่าในคอลัมน์ (X) ฟังก์ชัน FLOORเป็นฟังก์ชันที่ให้ค่าตัวเลขจำนวนเต็มที่พิจารณาจากค่าในคอลัมน์ X ถ้าหลังจุดทศนิยมมีค่ามากว่า 5 ก็จะให้ค่าเลขจำนวนเต็มที่มากขึ้น แต่ถ้าหลังจุดทศนิยมมีค่าน้อยกว่า 5 จะให้ค่าตัวเลขที่มีค่าน้อยลง ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่าตัวเลขจำนวนเต็มที่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับค่าในคอลัมน์ B SELECT B, CEIL(B) CEILING FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะได้คอลัมน์ CEILING ที่แสดงตัวเลขจำนวนเต็มที่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับค่าในคอลัมน์ B
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่าตัวเลขจำนวนเต็มในคอลัมน์ A โดยถ้าหลังจุดทศนิยมมีอยู่มากกว่า 5 ก็จะให้ค่าเลขจำนวนเต็มที่มากขึ้น แต่ถ้าหลังจุดทศนิยมมีค่าน้อยกว่า 5 ก็จะให้ค่าตัวเลขที่มีค่าน้อยลง SELECT A, FLOOR(A) FLOOR FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะได้คอลัมน์ FLOOR ที่มีค่ามากกว่า
3.3 ฟังก์ชัน COS(X), COSH(X), SIN(X), SINH(X), TAN(X), และ TANH(X) เป็นฟังก์ชันทางตรีโกณที่หาค่า cosine,hyperbolic cosine,sine,hyperbolic sine,tangent,hyperbolic tangent ที่มีค่า X เป็นองศาเรเดียน(radians,) โดย 360 degrees = 2 pile radians ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่า COS ของมุมในคอลัมน์ A SELECT A, COS(A) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะได้ของ (A) ที่มีค่าดังนี้
3.4 ฟังก์ชัน EXP (X)เป็นฟังก์ชันหาค่า e ยกกำลัง X ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาค่า e ยกกำลังของข้อมูลในคอลัมน์ A SELECT A, EXP(A) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะได้คอลัมน์ EXP(A) ที่เป็นข้อมูลในข้อมูลคอลัมน์ A e ยกกำลังตัวเลข
3.5 ฟังก์ชัน LN(X) และ LOG(X) ฟังก์ชัน LN เป็นการหาค่า natural log ของ X ฟังก์ชัน LOG เป็นการหาค่า log ฐาน10 ของ X ตัวอย่าง ถ้าต้องการหา natural log ของคอลัมน์ A SELECT A, LN(A) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะเกิด ERROR ขึ้นเนื่องจากแถวที่ 2 และ 4 ของตาราง NUMBERS มีค่าเป็นลบ ซึ่งถ้าข้อมูลมีค่าเป็นลบจะหาค่าไม่ได้ ERROR: ORA-01428: argument -45 is out of range จากตัวอย่างถ้าทำการยกกำลัง 2 ข้อมูลในคอลัมน์ A ค่าของข้อมูลที่เป็นลบอยู่เมื่อถูกยกกำลัง 2 จะกลายเป็นบวกจากนั้นจึงทำการหาค่า LN ข้อมูลในคอลัมน์ A SELECT A, LN(ABS(A)) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งในคอลัมน์ LN (ABS(A) จะได้ค่า natural log ที่เกิดจากคอลัมน์ A ยกกำลัง 2
จะหาค่า Log ฐาน 10 ในคอลัมน์ B จากตาราง NUBMERS SELECT B, LOG(B, 10) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งในคอลัมน์ LOG(B,10) จะให้ค่า log ฐาน 10 ของคอลัมน์ B
3.6 ฟังก์ชัน MOD(X,Y) เป็นฟังก์ชันที่แสดงเศษที่เกิดข้อมูล X หารด้วย Y ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาเศษของ A หารด้วย B โดยแสดงคอลัมน์ A,B และคอลัมน์เศษที่เหลือ SELECT A, B, MOD(A,B) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะได้คอลัมน์ MOD(A,B) เป็นคอลัมน์ที่แสดงเศษที่เกิดจากข้อมูลในคอลัมน์ A หารด้วย B
3.7 ฟังก์ชัน POWER (X,Y) เป็นฟังก์ชันในการยกกำลัง โดย X เป็นเลขฐานและ Y จะเป็นเลขยกกำลัง SELECT A, B, POWER(A,B) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะเกิด ERROR เพราะargument ในแถวที่ 2 ตัวที่เป็นเลขยกกำลังต้องมีค่าเป็นจำนวนเต็ม ERROR: ORA-01428: ARGUMENT -45 is out of range จะทำให้เลขยกกำลังมีค่าเป็นเลขจำนวนเต็มบวกโดยใช้ฟังก์ชัน CEILก่อนแล้วจึงจะนำมายกกำลัง SELECT A, CEIL(B), POWER(A,CEIL(B)) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งในคอลัมน์ CELI (B) เป็นค่าของข้อมูลในคอลัมน์ B ที่มีค่าเป็นจำนวนเต็มและเมื่อยกกำลังแล้วจะมีค่าปรากฎในคอลัมน์ POWER (A,CEIL(B)
3.8 ฟังก์ชัน SIGN (X) เป็นฟังก์ชันที่ - ให้ค่าเป็น 1 ถ้า X มีค่าน้อยกว่า 0 - ให้ค่าเป็น 0 ถ้า X มีค่าเท่ากับ 0 - ให้ค่าเป็น 1 ถ้า X มีค่ามากกว่า 0 ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาฟังก์ชัน SIGN ในการหาค่าข้อมูลในคอลัมน์ A SELECT A, SIGN(A) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่ง
ถ้าต้องการใช้ฟังก์ชัน SIGN ที่มีค่า 1 ในคอลัมน์ A SELECT A FROM NUMBERS WHERE SIGN(A) =1; ผลของคำสั่งจะแสดงข้อมูลในคอลัมน์ A ที่เมื่อใช้ฟังก์ชัน SIGN แล้วมีค่าเป็น 1
3.9 ฟังก์ชัน SQRT (X) เป็นฟังก์ชันในการหาค่ารากที่ 2 ของ X ตัวอย่าง ถ้าต้องการหารากที่ที่ 2 ของข้อมูลในคอลัมน์ A SELECT A, SQRT(A) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งจะเกิด ERROR เนื่องจากไม่สามารถหาค่ารากที่ 2 ของตัวเลขที่มีค่าเป็นลบได้ดังนี้ ERROR: ORA-01428: ARGUMENT -45 is out of range ตัวอย่าง ถ้านำข้อมูลในคอลัมน์ A มาหาค่าสมบูรณ์แล้วจึงนำไปหาค่ารากที่ 2 SELECT ABS(A), SQRT(ABS(A)) FROM NUMBERS; ผลของคำสั่งที่ได้จะได้ค่าสมบูรณ์ของข้อมูลในคอลัมน์ A และได้ค่ารากที่ 2 ของค่าสมบูรณ์ในคอลัมน์ A
4.ฟังก์ชันตัวอักขระ (Character functions)เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับจัดการข้อมูลอักขระ โดยที่มีตัวแปรจริงเป็นชนิดอักขระหรือชนิดตัวเลข และให้ผลการคำนวณเป็นค่าอักขระหรือค่าตัวเลข ตัวอย่างตาราง CHARACTERS
4.1 ฟังก์ชัน CHR เป็นฟังก์ชันสำหรับเปลี่ยนนิพจน์อักขระให้เป็นรหัส ASCII ค่าที่ได้จากฟังก์ชันนี้จะเป็นค่ารหัส ASCII ตัวอย่าง ถ้าต้องการเปลี่ยนค่าตัวเลขในคอลัมน์ CODE ให้เป็นตัวอักษร SELECT CODE, CH(CODE) FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่ง
4.2 ฟังก์ชัน CONCAT (X,Y) เป็นฟังก์ชันในการรวมอักขระ (X และ Y) เข้าด้วยกัน ตัวอย่าง ถ้าต้องการรวมคอลัมน์ FIRSINAME กับ LASTNAME ไว้ด้วยกัน SELECT CONCAT(FIRSTNAME, LASTNAME) FIRST AND LAST NAMES FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะได้นำคอลัมน์ FIRSTNAME และ LASTNAME มารวมกันแสดงให้เห็นในคอลัมน์ FIRST AND LASTNAMES
4.3 ฟังก์ชัน INITCAP (<string>) เป็นฟังก์ชันที่เปลี่ยนค่าตัวอักขระ (string) ให้ตัวแรกเป็นอักขระตัวใหญ่แล้วตามด้วยอักขระตัวเล็ก ถ้าต้องการเปลี่ยนให้เป็นอักษรตัวใหญ่ในคอลัมน์ FIRSTNAME SELECT FIRSTNAME BEFORE, INITCAP(FIRSTNAME) AFTER FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะทำการเปลี่ยน
4.4 ฟังก์ชัน LOWER (<string>) and UPPER (<string>) ฟังก์ชัน LOWER (<string>) เป็นฟังก์ชัน ที่เปลี่ยนตัวอักขระ (<string>) เป็นอักขระตัวเล็ก ฟังก์ชัน UPPER (<string>) เป็นฟังก์ชัน ที่เปลี่ยนตัวอักขระ (<string>) เป็นอักขระตัวใหญ่ ตัวอย่าง ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงตัวอักขระในคอลัมน์ FIRSTNAME จากอักขระตัวเล็กให้เป็น อักขระตัวใหญ่ทุกแถว ถ้าใช้คำสั่ง UPDATE ดังนี้ UPDATE CHARACTERS SET FIRSTNAME = kelly WHERE FIRSTNAME = KELLY; ผลของคำสั่งจะทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้คำสั่งละ 1 แถวเท่านั้น
จากตัวอย่างถ้าใช้ฟังก์ชัน LOWER หรือ UPPER ในการเปลี่ยนแปลงตัวอักขระจะใช้คำสั่งเพียงครั้งเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ทุกแถวดังนี้ SELECT FIRSTNAME, UPPER(FIRSTNAME), LOWER(FIRSTNAME) FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในคอลัมน์ FIRSTNAME ให้เป็นอักษรตัวใหญ่และเล็กตามลำดับดังนี้
4.7 ฟังก์ชัน REPLACE (<string>,X,Y) เป็นฟังก์ชันในการแทนค่าอักขระ X โดยการค้นหาตัวอักขระที่ต้องการแทนที แล้วแทนที่ด้วยอักขระ Y ที่ต้องการ ตัวอย่าง ถ้าต้องการค้นหาอักขระ ST โดยไม่แทนที่ด้วยอักขระใดๆ คำสั่งต้องการหาตัวอักษร ST ในคอลัมน์ LASTNAME โดยไม่ต้องแทนที่ด้วยตัวอักษรใด SELECT LASTNAME, REPLACE(LASTNAME, ST) REPLACEMENT FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะทำให้ในแถวที่ 3 และแถวที่ 6 ที่มีคอลัมน์ LASTNAME ที่มีอักษร ST อยู่จะถูกตัดทิ้งไป
ตัวอย่าง ถ้าต้องการหาตัวอักษร ST ในคอลัมน์ LASTNAME แล้วแทนที่ด้วย ** SELECT LASTNAME, REPLACE(LASTNAME, ST, **) REPLACEMENT FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะทำให้ในแถวที่ 3 และแถวที่ 6 ในคอลัมน์ LASTNAME ที่มีอักษร ST อยู่จะถูกแทนที่ด้วย **
4.8 ฟังก์ชัน SUBSTR (<string>,x,y) เป็นฟังก์ชันที่นำตัวอักษร (<string>) ในตำแหน่งที่ x ตัวอย่าง ถ้าต้องกแสดงอักษรตั้งแต่ตำแหน่งที่ 2 มาแสดง 3 ตำแหน่ง ของคอลัมน์ FIRSTNAME SELECT FIRSTNAME, SUBSTR(FIRSTNAME,2,3) FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะเห็นว่าในคอลัมน์ FIRSTNAME จะแสดงอักษรออกมา 3 ตัว แม้แต่ชื่อคอลัมน์ก็จะแสดงเพียง 3 ตัวเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง ถ้าต้องการให้แสดงตั้งแต่ตัวอักษรในตำแหน่งที่ 3 โดยไม่จำกัดว่าให้แสดงก็ตัวอักษร SELECT FIRSTNAME, SUBSTR(FIRSTNAME,3) FROM CHARACTERS; ผลของคำสั่งจะแสดงอักษรในคอลัมน์ FIRSTNAME ตั้งแต่ตัวที่ 3 ทั้งหมด
5.ฟังก์ชันการแปลง (Conversion functions)5.1ฟังก์ชัน TO_CHAR จะทำการแลง data type ที่เป็นตัวเลขให้เป็นตัวอักษร SELECT TESTNUM, TO_CHAR(TESTNUM) FROM CONVERSIONS; ผลของคำสั่ง
SELECT TESTNUM, LENGTH(TO_CHAR(TESTNUM)) FROM CONVERSIONS; ผลของคำสั่งจะทำการนับความยาวของตัวเลขที่แปลงเป็นตัวอักษรแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|