| 1. |
ข้อใดเป็นไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างโมเดลข้อมูลเชิงวัตถุกับโมเดลข้อมูลเชิงสัมพันธ์ |
| |
ก. ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
ข. การห้อหุ้มข้อมูลและวิธีการไว้ในอ๊อปเจ็ก
ค. วิธีการจัดการกับข้อมูล
ง. การสืบทอดคุณสมบัติของอ๊อปเจ็ก |
|
| 2. |
ข้อใดเป็นแนวคิดเชิงวัตถุ |
| |
ก. Encapsulation
ข. Inheritance
ค. Polymorphism
ง. ถูกทุกข้อ |
|
| 3. |
การติดต่อสื่อสารกันระหว่างอ๊อปเจ็กสามารถทำได้โดย |
| |
ก. ข่าวสาร
(message)
ข. ตัวแปร
(variable)
ค. วิธีการ
(method)
ง. ฟังก์ชัน
(function) |
|
| 4. |
ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการสืบทอด |
| |
ก. บุคคล-พนักงาน-เลขา
ข. บัญชี-บัญชีออมทรัพย์-บัญชีออมทรัพย์สินเพิ่มพูน
ค. กระจก-ประตู-รถยนต์
ง. คอมพิวเตอร์-คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล |
|
| 5. |
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ
Persistent programming language |
| |
ก. ไม่ต้องมีการแปลงชนิดข้อมูลระหว่าง
host language กับ data manipulation language
ข. สามารถจัดการกับข้อมูลได้
โดยไม่ต้องเขียนคำสั่งเพื่ออ่านข้อมูลเข้าสู่หน่วยความจำ
หรือเขียนข้อมูลกลับสู่ดิสก์
ค. เนื่องจากตัวภาษามีความยืดหยุ่น
และความสามารถสูง
ซึ่งอาจจะทำให้การโปรแกรมเกิดความผิดพลาดและทำเกิดความเสียหายต่อฐานข้อมูลได้ง่าย
ง. ถูกทุกข้อ |
|
| 6. |
คำกล่าวใดถูกต้องเกี่ยวกับ
Object Identifier |
| |
ก. Object
Identifier
ของแต่ละอ๊อปเจ็กมีค่าไม่ซ้ำกัน
ข. Object
Identifier
จะถูกกำหนดให้โดยอัตโนมัติโดยระบบ
ค. Object
Identifier
ไม่ได้หมายถึงข้อมูลในตาราง
ง. ถูกทุกข้อ |
|
| 7. |
ชนิดข้อมูลที่ซับซ้อนหมายถึงอะไร |
| |
ก. ชนิดข้อมูลที่มีลักษณะเป็นกลุ่มข้อมูล
ข. ชนิดข้อมูลที่เราสามารถกำหนดได้เอง
ค. ชนิดข้อมูลที่ถูกสร้างมาจากชนิดข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้ว
ง. ถูกทุกข้อ |
|
|
จาก database schema
ต่อไปนี้ จงตอบคำถามข้อ 8 - 12
Project (projno, projname)
Employee (empno, empname, setof(children), setof(ref(project))) |
| 8. |
ถ้าต้องการรู้รหัสพนักงาน
ชื่อพนักงาน
ที่มีบุตรชื่อ James
จะเขียนคำสั่ง Select อย่างไร |
| |
ก. select
empno, empname from employee where James = children
ข. select
empno, empname from employee where James = children
ค. select
empno, empname from employee where %James% = children
ง. select empno, empname from employee where %James% in children |
|
| 9. |
ถ้าต้องการแสดงรหัสพนักงาน
ชื่อพนักงาน
และจำนวนบุตรของพนักงานทุกคน
จะเขียนคำสั่ง Select อย่างไร |
| |
ก. select
empno, empname, count(children) from employee
ข. select
empno, empname, count(children) from employee group by empno
ค. select
empno, empname, sum(children) from employee
ง. select empno,
empname, sum(children) from employee group by empno |
|
| 10. |
ถ้าต้องการรู้ว่ารหัสพนักงาน
ชื่อพนักงาน
ของพนักงานรหัส 1234
ทำงานในโปรเจ๊กใดบ้าง
จะเขียนคำสั่ง Select อย่างไร |
| |
ก. select
empno, empname, p.projname from employee, project as p where empno=1234
ข. select
empno, empname, p.projname from employee, project as p where empno=1234
and employee.project=p.projno
ค. select
empno, empname, p.projname from employee, employee.project as p where
empno=1234
ง. select empno,
empname, p.projname from employee, employee.project as p where
empno=1234 and employee.project=p.projno |
|
| 11. |
ถ้าต้องการเพิ่มข้อมูลพนักงาน
รหัส 2001 ชื่อ John มีบุตร 2 คน
ชื่อ Tom และ Jerry
และทำงานในโปรเจ็ก รหัส P003
จะเขียนคำสั่งอย่างไร |
| |
ก. insert
into employee values (2001, John, Tom, Jerry, P003)
ข. insert
into employee values (2001, John, (Tom, Jerry), (P003))
ค. insert
into employee values (2001, John, set(Tom, Jerry, set(P003))
ง. insert
into employee values (2001, John, set(Tom, Jerry),
set(P003)) |
|
| 12. |
จาก database schema
เราสามารถแปลงให้อยู่ในรูปของ
relation schema ได้อย่างไร |
| |
ก. Employee
(empno, empname, projno)
Emp-child (empno, children)
Project (projno,
projname)
ข. Employee
(empno, empname, children, projno)
Emp-child (children,
empno)
Project (projno,
projname)
ค. Employee
(empno, empname, children, projno)
Project (projno,
projname)
ง. Employee
(empno, empname, projno)
Emp-child (empno, children)
Project (projno, projname)
|
|
|
