Back to Home

DataBase System

Lesson1345679101112131415

Lesson 2 : Relational Data Model



Lesson Plan
Section No.
Section 1
Section 2
Section 3
Section 4
Test
PDF file
PPT File

<<Prev pageCourse MapNext page>>

Print content of this page
Save content of this page

 

Relational Calculus

เมื่อผู้ใช้ทำการค้นหาข้อมูลโดยใช้ Relational algebra ผู้ใช้จะต้องกำหนดการกระทำและเงื่อนไขเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ จึงกล่าวได้ว่า Relational algebra เป็น procedural language เช่น การ Join แล้วตามด้วย Projection ด้วยการใช้ Relational calculus ผู้ใช้สามารถกำหนดรูปแบบการค้นหาในลักษณะของนิพจน์หรือสมการทางคณิตศาสตร์ที่มีตัวแปร ค่าคงที่ ตัวกระทำ ตัวเชื่อม และอื่นๆ Relational calculus จึงเป็นการใช้คณิตศาสตร์ในรูปของตรรกะเข้ามาช่วยในการค้นหาข้อมูล คำตอบที่ได้จากการใช้ Relational calculus ถือแถวของข้อมูลจากความสัมพันธ์ที่ทำให้ค่าของสมการคณิตศาสตร์นั้นมีค่าเป็น จริง

เมื่อ R1, …, Rk เป็นชุดของความสัมพันธ์ และความสัมพันธ์ Ri ประกอบไปด้วยแอททริบิวจำนวน n ตัว (A1,…,An) แล้ว Relational Calculus จะประกอบด้วยสมการทางตรรกะที่สร้างได้โดยการใช้

  • สัญลักษณ์แทนเงื่อนไข : Î , =, <, <=, >, >= , ¹
  • รูปแบบของคิวรี

{ (A1, …,An) | p[(A1,…,An)] }

  • คำตอบที่ได้จากคิวรี ประกอบไปด้วยแถวของข้อมูล (A1,…,An) ที่ทำให้สมการ p [(A1,…,An)] มีค่าเป็นจริง
  • สมการมีอยู่ 2 แบบ คือ
    • สมการเดี่ยว (Atomic formula) อยู่ในรูป p [(A1,…,An)]
    • สมการผสม (Formula) อยู่ในรูปของสมการเดี่ยวผสมกับสมการเดี่ยวอื่น โดยอาศัยตัวกระทำกับสมการ : Ø (not) , Ù (intersection), Ú (union), " (for all) , $ (there exists)

ตัวอย่าง สมการต่อไปนี้หมายความว่า ให้หาข้อมูล t1 ทุกแถวในความสัมพันธ์ EmpDept (รูปจากตาราง 2-10) ที่ทำให้มีบางแถวใน t2 ซึ่ง t2 อยู่ในความสัมพันธ์ Emp (รูปจากตาราง 2-11) และทั้ง t1 และ t2 มีค่าในคอลัมน์ Dept เหมือนกัน

{t1 | ($ t2 )((t1 Î EmpDept) & (t2 Î Emp) & (t1 .Dept = t2.Dept)}

 

 

Last Updated: 12/13/2001 11:23:13 AM
© โครงการเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัย